2552-11-03

packaging design กล้วย ไทไท (งานตอนปี3)



Album T-BONE (งานตอนปี3)




แบบว่าเฮ่อ!!!

CALENDAR_FASHION_CIRCUS

เป็นงานออกแบบปฎิทินของปี 2010 เป็นการนำแฟชั่นมาเล่นกับลายของเสือ

เป็นงานออกแบบปฎิทินของปี 2010 อันนี้จะนำเรื่องของละครสัตว์มาเล่นกับสีอัญมณีประจำเดือน

2552-09-02

Design Hero[Alan Fletcher]

Alan Fletcher
Graphic Designer (1931-2006)

Alan Fletcher คือผู้บุกเบิกของอุตสาหกรรมการออกแบบ graphic ในประเทศอังกฤษ Alan Fletcher ทำงานทางด้าน graphic designer มานานกว่า 55 ปี ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2006 โดยก่อนหน้านั้นก็ได้ฝากผลงานที่ยิ่งใหญ่ไว้อย่างมากมายซึ่งผลงานทั้งหมดได้ถูกรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์ และจะมีการจัดนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงผลงานเก่าๆที่มีคุณค่าเหล่านั้นในวันที่ 11 พฤศจิกาย 2006 เพื่อเฉลิมฉลองผลงานที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลต่อวงการ graphic designer ของอังกฤษ เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Fletcher/Forbes/Gill studio ขึ้นในปี 1960 และ Pentagram ในปี 1970 และยังได้แต่งหนังสือต่างๆที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจบนความคิดที่ยิ่งใหญ่ไว้มากมายเช่น Designed to be open at random, The Art of Looking Sideways, Alan Fletcher’s 2001 book เป็นต้น นักเรียนและนักออกแบบต่างๆก็ใช้เป็นต้นแบบในการคิด และเป็นสิ่งกระตุ้นในการผ่านปัญหาต่างๆ ความคิดที่ยิ่งใหญ่ของเขามีส่วนในการรวมกันระหว่างวัฒนธรรมยุโรปกับอเมริกาเหนือ จนทำให้เกิดประเพณีใหม่ที่ได้ถูกพัฒนาให้เป็นระบบมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกให้เกิดอิสรภาพแก่วงการ graphic design ในอังกฤษอีกด้วย โดยมีการหาหุ้นส่วนใน Pentagram เพื่อให้เกิดห้างหุ้นส่วนที่มีความคิดสร้างสรรค์อย่าอิสระ นอกจากนี้เขายังพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ที่มีแบบแผนและงานต่อการจดจำเขาเกิดที่เคนยา และได้ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษกับแม่หลังจากพ่อได้ล้มป่วยและเสียชีวิตลง โดยอาศัยอยู่ในย่านตะวันตกของกรุงลอนดอน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนประจำที่เพื่อนๆล้วนอยากเป็นทหารและนายธนาคารด้วยกันทั้งนั้น ต่อมาได้ตัดสินย้ายมาเรียนที่ Hammersmith School of Art และ Central School ตามลำดับ และได้พบกับ Colin Forbes และ Theo Crosby หลังจบการศึกษาที่ Central School แล้วได้ไปสอนภาษาอังกฤษที่บาร์เซโลนา จนได้ตำแหน่งที่ Royal College of Art หลังจากนั้นได้ทุนไปเรียนต่อที่ Yale University ในสาขา graphic design และได้แต่งงาน Paola Biagi แฟนสาวชาวอิตาลีหลังจากแต่งงาน เขาได้มีโอกาสไปพบกับนักออกแบบที่มีชื่อเสียง เช่นRobert Brownjohn, Tom Geismar ที่นิวยอร์กอีกด้วย หลังจากเรียนจบก็เริ่มเดินทางไปละตินอเมริกา แต่ก็ต้องมาหยุดอยู่ทีลอสแองเจลิสเพื่อหาเงินในการเดินทาง เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของนักออกแบบท่านหนึ่งชื่อ Saul Bass อยู่ระยะหนึ่ง เขารักที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา แต่ภรรยาของเขาอยากอยู่ในยุโรปมากกว่า จากนั้นได้เดินทางไปเวเนซุเอลา แต่โชคไม่ดีที่ไปตรงกับการปฏิวัติพอดีเขาจึงเดินทางไปลอนดอนโดยใช้เส้นทางผ่านเมืองมิลาน ระหว่างพักอาศัยระยะสั้นๆในอิตาลีเขาได้ทำงานใน Pirelli design studio และต่อมาพบว่าอังกฤษกำลังตกอยู่ในยุคมืดจึงย้ายกลับไปอเมริกาและทำงานร่วมกับ Colin Forbes หลังจากนั้นเขาและ Forbes ได้สร้างสัมพันธภาพกับ Bob Gill และสตูดิโอที่พวกเขาร่วมกันสร้างขึ้นก็เริ่มมีชื่อเสียง และวงการ graphic design ในลอนดอนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการเข้ามาของนักออกแบบชื่อดังชาวอเมริกา เช่น Gill, Bob Brooks เป็นต้น ในปี 1963 Bob Gill ได้ออกจากบริษัทไป แต่ก็ได้ Crosby เข้ามาแทน หลังจากนั้นเขาก็ได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำออกมาอีกเรื่อยๆ

ผลงานของ Alan Fletcherออกแบบนิตยสาร Cover for Fortune magazine 1958 ออกแบบโฆษณารองเท้าแตะ
Detail ofanadvertisementforPirellislippers1962
ทำงานร่วมกับ Fletcher/Forbes/Gil
ผลงานชิ้นนี้ สร้างมาจากประสบการณ์ การดำรงชีวิตของคนแต่ละคน ความเรียบง่าย การใช้สี การจัดวางองศ์ประกอบ จึงทำให้ตัวงานเป็นที่เข้าใจของผู้ที่ได้ พบเห็น
ออกแบบใบประกาศ Pirelli
Detail of a Pirelli poster for a double-decker bus, 1961
ผลงานชิ้นนี้ เป็นงานออกแบบที่ใช้ Font มาสร้างงานโฆษณาทำให้เกิดความแปลกใหม่
โดยการทำให้ Font ยาวขึ้น ตัว P คลุมตัวอักษรทุกตัว จึงทำให้ตัวงานเกิดความโดดเด่น

ออกแบบนิตยสาร
Cover for ICI corporate magazine Plastics Today 1965

ออกแบบใบประกาศสำหรับงาน Designer
Poster for the Designers' Saturday London event 1982

ออกแบบใบประกาศสำหรับงาน Portrait แห่งชาติ
Poster for the National Portrait Gallery London
ออกแบบตัวอักษรให้กับ Victoria & Albert
Visual identity of the Victoria & Albert Museum London 1989
ออกแบบประตูรั้วเหล็กภายนอกสตูดิโอของเขาเอง
Sketch by Alan Fletcher for the elongated alphabet motifs on the iron gates outside his West London studio 1992

ออกแบบหนังสือศิลปะแห่งสหรัฐอเมริกา
The American Art Book 1999
ออกแบบหนังสือ The Art of Looking Sideways 2001

Alan เข้าไปร่วมงานใน terrace และนี้ก็เป็นผลงานบางส่วนของสตูดิโอลอนดอนตะวันตก
Alan Fletcher sitting on the terrace of his West London studio 1995
หนังสือนี้ มีมา 35 ปี ของ Alan Fletcher บางส่วนของงานสียังไม่แห้ง นี่คือหนังสือที่เกี่ยวกับกระบวนการออกแบบ, แก้ไขความคิดล้าหลัง และวิธีใช้แยกพวกมัน การแสดงนี้ชัดเจนด้วยตัวอย่างที่มีภาพประกอบ, ใจความสำคัญ, ไม่แสดงตัวอย่างในต้นฉบับแต่ภาพเหมือนจริง แต่ละตัวอย่างจะมีคำอธิบายอยู่ด้วยโดย Jeremy Myerson

Alan Fletcher
1931 เกิดในเมืองหลวงของเคนยา
1936 เมื่อพ่อเสียชีวิต เขาและแม่ย้ายไปประเทศอังกฤษ
1941 เข้าโรงเรียนประจำที่ Christ’s Hospital boarding school1949 ย้ายมาเรียนที่ Hammersmith School of Art เป็นวิทยาลัยที่ดีเลิศทางด้านศิลปะ
1953 ศึกษาต่อที่ Royal College of Art
1956 ได้ทุนไปเรียนต่อที่ Yale University’s School of Architecture and Design
1959 เดินทางกลับลอนดอน แต่ได้ไปแวะพักอาศัยระยะสั้นๆในอิตาลี เขาจึงตัดสินใจทำงานใน Pirelli design studio
1960 เป็นผู้ก่อตั้ง Fletcher/Forbes/Gill studio
1961 ออกแบบใบประกาศ Pirelli
1963 Bob Gill ได้ลาออกจากบริษัทไป แต่ก็ได้ Crosby เข้ามาทำงานแทน
1965 ออกแบบนิตยสาร Cover for ICI corporate magazine Plastics Today
1972 ก่อตั้ง Pentagram กับ Crosby Forbes Kenneth Grange Mervyn Kurlansky
1974 John McConnell เข้าร่วมงานกับ Pentagram
1980 ออกแบบธนาคารธุรกิจในประเทศคูเวท
1989 ออกแบบตัวอักษรให้กับ Victoria & Albert
1992 ออกแบบประตูรั้วเหล็กภายนอกสตูดิโอของเขาเอง
1994 กลายเป็นผู้กำกับศิลปะและเป็นที่ปรึกษาให้กับ Phaidon



Alan Fletcher ทำงานทางด้าน graphic designer มานานกว่า 55 ปี และได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2006

ข้อมูลอ้างอิง www.designmuseum.org

2552-07-01

Home เปิดหน้าต่างโลก

เป็นอีกภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมแห่งปีที่ ญานน์ อาร์ทูส์-แบร์ทรองด์ นอกจากทำหน้าที่กำกับแล้วยังร่วมเขียนบทพร้อมกับใช้เวลาในการสร้างร่วม 3 ปี เพราะต้องเดินทางหาโลเกชั่นเพื่อถ่ายทำให้ได้ภาพแปลกตากว่า 54 ประเทศ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อโลก จึงต้องตระเวนถ่ายทำเพื่อเก็บสต๊อกภาพที่มีความยาวถึง 488 ชั่วโมงแล้วนำมาตัดต่อให้เหลือเพียง 120 นาทีสำหรับภาพยนตร์สารคดีเรื่องเยี่ยม โฮม (Home) เปิดหน้าต่างโลก ที่ เอ็มพิคเจอร์ส เตรียมนำ มาให้แฟนๆ ในไทยได้ชมกันเพราะถึงเวลาที่มนุษย์ทุกผู้คนต้องรู้จักปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อมโลกก่อนที่จะสายเกินไป เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายสมดุลธรรมชาติมามากมายแล้ว
คุณเคยเห็นโลกภาคพื้นดิน ผ่านท้องฟ้าสีครามหรือไม่ ผืนน้ำใสสะอาด ตึกรามบ้านช่อง ป่าไม้เขียวขจี เสมือนเรากำลังโอบกอดทั้งโลกไว้ได้ด้วยสองมือของเรา "ยานน์ อาร์ทัส-เบอร์ทรานด์" กำลังแสดงให้เราเห็นถึงโลกที่เขาเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยพบ มุมมองที่มนุษย์เดินดินไม่มีวันได้เห็น โลกที่เหมือนเพชรสีน้ำเงินลอยอยู่ในห้วงแห่งอวกาศอันมืด ทำให้เราได้เห็น ได้เข้าใจและตระหนักถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านช่วงเวลายาวนานจนทรัพย์สมบัติที่ชื่อว่า "ธรรมชาติ" กำลังจะสูญสลายไปด้วยมือของเราและนั่นอาจหมายถึงสัญญาณที่เตือนว่าคงถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องปกป้อง "บ้าน" หลังใหญ่แห่งนี้ไว้ด้วยตัวของเราเอง


ตลอด 200,000 ปีบนโลก มนุษยชาติพลิกผันดุลยภาพของดาวดวงนี้ ซึ่งกว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็ต้องอาศัยวิวัฒนาการเกือบ 4 พันล้านปี ทุกวันนี้คือเวลาแห่งการชดใช้อย่างสาสม และสายเกินกว่าจะคร่ำครวญ มนุษยชาติเหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 ปีเพื่อกลับตัวกลับใจ เพื่อตระหนักถึงความอุดมสมบูรณ์ของโลกที่สูญสิ้นไปทุกหย่อมหญ้า และเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการผลาญทรัพยากรนอกจากจะได้เห็นฟุตเทจแปลกตาซึ่งรวบรวมมาจากเหนือพื้นดินของกว่า 50 ประเทศ รวมถึงได้ร่วมแบ่งปันความพิศวงสงสัยและความกังวลใจ ญานน์ อาร์ทูส์-แบร์ทรองด์ ยังหวังว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูบ้านหลังใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง

วิธีการนำเสนอของ หนังเรื่องนี้ จะเด่นชัดมากในเรื่องของมุมกล้อง สีสัน และก็ Computer Graphic ที่จะดูสวย เนียน ดูเป็นธรรมชาติ การถ่ายทำ ส่วนใหญ่ก็จะถ่ายบนเฮลิคอปเตอร์ กล้องที่ใช้ถ่ายทำ Cineflex สามารถซูมได้ไกลมาก และยังชัดมากอีกด้วย ทำให้ภาพยนตร์ สารคดี เรื่องนี้มีภาพที่สวยงามและคมชัดเป็นอย่างยิ่ง การถ่ายทำฟุตเทจทางอากาศยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางเทคนิคอีกมากมาย เริ่มจากต้องใช้กล้องตามที่กำหนด นั่นคือ Gyro-Stabilized Cineflex HD ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นกล้องที่ให้ภาพราวกับการเคลื่อนไหวของเครนไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะสั่นสะเทือนหรือไม่ก็ตาม แรกเริ่มเดิมที กล้องรุ่นนี้พัฒนาขึ้นมาโดยวัตถุประสงค์ทางการทหาร กล่าวคือ เพื่อช่วยในการค้นหาเป้าหมาย มันจึงซูมได้ในระยะไกลมาก และยังเปลี่ยนเทปบันทึกภาพได้ทันทีบนเฮลิคอปเตอร์และภาพยนตร์สารคดีเรื่องเยี่ยมด้วยมุมมองการมองเห็นโลกอันสวยงามผ่านสายตาของช่างภาพชาวฝรั่งเศสฝีมือระดับโลกอย่าง ยานน์ อาร์ทัส-เบอร์ทรานด์ ช่างภาพทางอากาศที่เคยเปิดนิทรรศการเผยแพร่ภาพถ่ายของโลก

สิ่งที่ชอบในภาพยนตร์สารคดี เรื่องนี้ก็คือ ภาพสวยมาก สีสันของภาพต่างๆดูแล้วรู้สึกไปกับภาพที่สื่อออกมาและยังแฝงเนื้อหาดีๆไว้อีกมาก ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้โลกเรากำลังมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ได้ทราบถึงผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ตระหนักแล้วว่าถ้าเรายังทำตัวเหมือนทุกวันนี้ยังใช้ทรัพยากรธรรมชาติอยู่แบบนี้อีกไม่นานทรัพยากรธรรมชาติในโลกของเราจะต้องหมดไป
สิ่งที่ไม่ชอบ จากภาพยนตร์ เรื่องนี้ก็คือ การดำเนินเรื่องราวในเรื่องจะดูช้าเกินไปทำให้พอดูไปซักพักจะเริ่มเบื่อ
ข้อเสนอแนะ ก็คือ อยากปรับเรื่องการเล่าเรื่องให้มีความตื่นเต้นขึ้นหน่อย เพื่อลดความหน้าเบื่อลง เพราะพอดูเรื่องนี้ไปนานๆจะรู้สึกง่วงนอน ถ้าเพิ่มเรื่องราวที่ดูน่าตื่นเต้นลงไปอาจทำให้ภาพยนต์เรื่องนี้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

keywords 10 คำ
1.ความแห้งแล้ง
2.น้ำ
3.การก่อสร้าง
4.อุตสาหกรรม5
.ความเจริญ
6.ป่าไม้
7.ความไม่เท่าเทียม
8.ภัยธรรมชาติ
9.การทำลาย
10.มนุษย์

2552-06-30

ปล่อยแสง3

ล่าสุดไปดูงานปล่อยแสง3 ที่ TCDC มากับพวกเพื่อนๆ วันนี้เลยหยิบงานที่ว่าก็ดีนะมา ซัก3งานมาโชว์ซะหน่อย

ผลงานชิ้นที่ 1.THE PIGPIG FISHFISH STORY
ที่หยิบผลงานชิ้นนี้มาก็เพราะรู้สึกว่าเฮ้ยยตลกดีนะแล้วรู้สึกว่าเค้าตัดต่อดีเอฟเฟคในภาพอะไรต่างๆก็ดูแล้วเนียนมาก การเล่าเรื่องก็ดูสนุก ดูแล้วมันไม่เครียดดีเลยคิดว่าเออชอบชิ้นนี้วะ

ผลงานชิ้นที่ 2.STARVARY COLLECTION
ผลงานชิ้นนี้จะเป้นการออกแบบเครื่องประดับ แต่แค่เครื่องประดับก็คงรู้สึกเฉยๆ แต่ที่รู้สึกว่าเออก็ดีนะก็เพราะเครื่องประดับ ของเค้าเป็นเครื่องประดับที่ทำมาจากสีเทียน คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่าแปลก แต่สำสรับตัวเรารู้สึกว่าเออมันเอามาทำได้ด้วย หรอสีเทียนเนี่ย อืมม!!!มันแปลกดีเหมือนกันนะเนี่ย

ผลงานชิ้นที่ 3.CIR QUARE
ส่วนผลงานชิ้นนี้ใครเดินผ่านอาจรู้สึกว่าธรรมดาแต่เค้าได้นำเสนอเรื่องราวของเด็กออทิสติกโดยเล่าเรื่องราวต่างๆผ่านรูปวาด ง่าย ของ สี่เหลี่ยม และวงกลม